บทที่ 10 ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทันสมัยที่เกี่ยวข้องกับงานขาย

10.1เทคโนโลยีกับธุรกิจ
      1.ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (Business Information Systems)  เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อสนับ สนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยถูกออกแบบและพัฒนา ให้ปฏิบัติงาน ตาม หน้าที่ ทางธุรกิจ สามารถจำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจตามหน้าที่ ดังต่อ ไปนี้ 
1. ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (Accounting Information System)
2. ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (Financial Information System)3. ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (Marketing Information System)4. ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินการ (Production and Operations Information System)5. ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resource Information System)                                         
     2.ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (marketing information system)
           การตลาด (Marketing) เป็นหน้าที่สำคัญทางธุรกิจ เนื่องจากหน่วยงานด้านการตลาดจะรับผิดชอบ ในการ กระจาย สินค้าและบริการไปสู่ลูกค้า ตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการการวางแผนและ การสร้างความต้องการ ตลอดจนการส่งเสริมการขายจนกระทั่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้า ปกติการตัดสินใจทางการตลาดจะเกี่ยว ข้องกับการ จัดส่วน ประสมทางการตลาด (Marketing Mix) หรือส่วนประกอบที่ทำให้ การดำเนินงาน ทาง การตลาดประสบความสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 ประการได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) สถานที่ (Place) และการโฆษณา (Promotion) หรือที่เรียกว่า 4 Ps โดยสารสนเทศ ที่นักการตลาดต้องการในการวิเคราะห์ วางแผนตรวจสอบ และควบคุมให้แผนการตลาด เป็นไป ตามที่ต้องการมาจากแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้
1. การปฏิบัติงาน (Operations) เป็นข้อมูลที่แสดงถึงยอดขาย และการดำเนินงานด้านการตลาด ช่วงระยะเวลา ที่ผ่านมา โดยข้อมูลการปฏิบัติ งานจะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกา รดำเนินงานที่ช่วยในการ ตรวจสอบ ควบคุม และวางแนวทางปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอนาคต
2. การวิจัยตลาด (Marketing Research) เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด โดย เฉพาะพฤติกรรมและความ สัมพันธ์ของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจ โดย นักการตลาดจะทำการ วิจัยสมมติฐานและการเก็บข้อมูลจากกลุ่ม ตัวอย่างปกติ ข้อมูลในการวิจัยตลาดจะได้มาจากการรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ และการใช้แบบสอบถาม
3. คู่แข่ง (Competitor) ปกติ ข้อมูลจากคู่แข่งขั้นจะมีลักษณะไม่มีโครงสร้าง ไม่เป็นทางการ และมีแหล่งที่มา ไม่ชัดเจน เช่น การทดลอง ใช้สินค้า หรือบริการ การสัมภาษณ์ลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย การ ติดตามข้อมูลในตลาด และข้อมูลจากสื่อสารมวลชน เป็นต้น
4. กลยุทธ์องค์การ (Corporate Strategy) เป็นข้อมูลสำคัญทางการตลาด เนื่องจากกลยุทธ์จะเป็นเครื่อง กำหนด แนวทางปฏิบัติของธุรกิจ และ เป็นฐานในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์การ
5. ข้อมูลจากภายนอก (External Data) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลต่อโอกาส หรือ อุปสรรค ของธุรกิจ โดยทำให้ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์หรือบริการของ ลูกค้าขยายตัวหดตัว ตลอดจนสร้างคู่แข่งขันใหม่ หรือ เปลี่ยนขั้นตอนและรูปแบบในการดำเนินงาน
           สารสนเทศด้านการตลาดอาจจะมีความแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ ซึ่งเราสามารถจำแนกระบบย่อย ของ ระบบสารสนเทศ ด้าน การตลาดได้ดังต่อไปนี้
1. ระบบสารสนเทศสำหรับการขาย สามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อย 3 ระบบ ดังต่อ ไปนี้
1.1 ระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนการขาย จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ของ ฝ่ายขาย 1.2 ระบบสารสนเทศสำหรับวิเคราะห์การขาย จะรวบรวมสารสนเทศในเรื่องของกำไรหรือขาดทุน ของ ผลิตภัณฑ์ ความสามารถของพนักงาน ขายสินค้า ยอดขายของแต่ละเขตการขาย รวมทั้งแนวโน้ม การเติบโตของสินค้า 1.3 ระบบสารสนเทศสำหรับการวิเคราะห์ลูกค้า จะช่วยในการวิเคราะห์ลูกค้าเพื่อให้ทราบถึง รูปแบบของ การ ซื้อและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เพื่อที่ธุรกิจจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ2. ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยตลาด สามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อยตามหน้าที่ได้ 2 ระบบ ดังต่อไปนี้ 2.1 ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยลูกค้า การวิจัยลูกค้าจะต่างกับการวิเคราะห์ลูกค้าตรงที่ว่าการวิจัยลูกค้า จะมีขอบเขตของการใช้ สารสนเทศกว้างกว่าการวิเคราะห์ลูกค้า โดยการวิจัยลูกค้าจะต้อง การทราบสารสนเทศ ที่เกี่ยว กับลูกค้าในด้านสถานะทางการเงิน การดำเนินธุรกิจ ความพอใจ รสนิยม และพฤติกรรมการบริโภค2.2 ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยตลาด การวิจัยตลาดจะให้ความสำคัญกับการหา ขนาดของตลาด ของแต่ ละผลิตภัณฑ์ที่จะนำออกจำหน่าย ซึ่งอาจจะครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลัก จากนั้นก็จะกำหนดส่วน แบ่ง ตลาดของผลิตภัณฑ์ เพื่อทำการวางแผน กำหนดเป้าหมาย กำหนด กลยุทธ์ และวางแผนกลยุทธ์ สารสนเทศที่เป็นที่ ต้องการของการวิจัยตลาดคือ สภาวะและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ยอดขายในอดีตของ อุตสาหกรรม หรือผลิตภัณฑ์ชนิด เดียวกันในตลาด รวมทั้งภาวะการแข่งขันของผลิตภัณฑ์นี้ด้วย 3. ระบบสารสนเทศสำหรับการส่งเสริมการขาย เป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับแผนงาน ทางด้าน โฆษณา และส่งเสริมการขาย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ ส่งเสริม การขาย เพิ่มยอดขายสินค้าและเพิ่มส่วนแบ่ง ตลาดให้สูงขึ้น สารสนเทศที่เป็นที่ต้องการ คือ ยอดขายของสินค้า ทุกชนิดในบริษัท เพื่อ ให้รู้ว่าสินค้าตัวใดต้องการแผนการ ส่งเสริม การขาย และสารสนเทศที่เกี่ยวกับผลกำไร หรือขาดทุนของสินค้าแต่ละ ชนิด 4. ระบบสารสนเทศสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เป็นระบบสารสนเทศที่วิเคราะห์ถึงความ เป็นไปได้ของ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ลักษณะและ ความ ต้องการของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือผลิตภัณฑ์ ที่เป็นที่ต้องการของ ลูกค้าแต่ยัง ไม่มีตลาด โดยสารสนเทศที่เป็นต้องการของระบบ ได้แก่ ยอดขายของผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในอดีต เพื่อให้ทราบถึง ขนาดและลักษณะของตลาด และการประมาณการต้นทุน เพื่อตอบคำถามให้ได้ว่า สมควร ที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่5. ระบบสารสนเทศสำหรับพยากรณ์การขาย เป็นระบบที่ใช้ในการวางแผนการขาย แผนการทำกำไรจากสินค้า หรือบริการ ในช่วงเวลา ใดเวลา หนึ่ง ของบริษัท ซึ่งจะส่งผลไปถึงการวางแผนการผลิต การวาง กำลังคน และงบ ประมาณที่จะใช้เกี่ยวกับการขาย โดยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการ คือ ยอดขายในอดีต สถานะของคู่แข่งขัน สภาวการณ์ ของตลาด และแผนการโฆษณา6. ระบบสารสนเทศสำหรับการวางแผนกำไร เป็นระบบสารสนเทศที่ให้ความสำคัญกับการวางแผน ทำกำไรทั้ง ในระยะสั้นและระยะยาว ของธุรกิจ โดยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการ คือสารสนเทศจากการวิจัย ตลาด ยอดขายในอดีต สารสนเทศของคู่แข่ง การพยากรณ์การขาย และการโฆษณา 7. ระบบสารสนเทศสำหรับการกำหนดราคา  ของสินค้านับว่าเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งทางการตลาด เพราะต้องคำนึง ถึงความ ต้อง การของลูกค้า คู่แข่งขัน กำลังซื้อของลูกค้า โดยปกติแล้ว ราคาสินค้าจะตั้งราคาต้นทุน รวมกับร้อยละของกำไรที่ต้องการ โดยสารสนเทศที่ต้องการ ได้แก่ ตัวเลขกำไรของผลิตภัณฑ์ในอดีต เพื่อทำการ ปรับปรุงราคาให้ได้สัดส่วนของกำไรคงเดิม ในกรณีที่ต้นทุนมีการ เปลี่ยนแปลง 8. ระบบสารสนเทศสำหรับการควบคุมค่าใช้จ่าย บุคคลที่เป็นผู้ควบคุมค่าใช้จ่ายสามารถควบคุมได้โดย ดูจาก รายงาน ของผลการทำกำไรกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงหรือสาเหตุของการตลาดเคลื่อนของ ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยว ข้องกับการขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น เงินเดือน ค่าโฆษณา ค่าส่วนแบ่งการขาย เป็นต้น
10.3 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ e-commerce


      1.ความเป็นมา   E-Commerce เริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงาน และในช่วงเริ่มต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทเล็กๆ มีจำนวนไม่มากนัก ต่อมาเมื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) ได้แพร่หลายขึ้น ประกอบกับคอมพิวเตอร์พีซีได้มีการขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตและเว็บ ทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในปัจจุบันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโฆษณา การซื้อขายสินค้า การซื้อหุ้น การทำงาน การประมูล และการให้บริการลูกค้า
     2.ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  
                E-Commerce ย่อมาจาก Electronic Commerce หรือที่เรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยความหมายของคำว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีผู้ให้คำนิยามไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีคำจำกัดความใดที่ใช้เป็นคำอธิบายไว้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีดังนี้
                E-Commerce คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)
                E-Commerce คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (World Trade Organization: WTO, 1998)
                E-Commerce คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ(OECD,  1997)
                E-Commerce คือ กิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่ดำเนินการโดยมีการแลกเปลี่ยน เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลข่าวสาร โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อีเมล์ และอื่น ๆ (Hill, 1997)
                E-Commerce คือ การใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น EDI การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคมอื่น ๆ โทรทัศน์และการใช้อินเทอร์เน็ต (Palmer, 1997)     
                E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้า บริการ และสารสนเทศผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งอินเทอร์เน็ต (Turban et al, 2000)
                สรุป E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การประกอบธุรกิจการค้าผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ หรือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีความสำคัญที่สุดในปัจจุบัน โดยมีระบบอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำการค้าระหว่างกันได้
      3.ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1.ธุรกิจกับธุรกิจ ( Business to Business : B to B )
    หมายถึง ธุรกิจที่มุ่งเน้นการให้บริการแก่ผู้ประกอบการด้วยกันโดยอาจเป็นผู้ประกอบการในระดับเดียวกัน  หรือระดับต่างกันก็ได้ เช่น ผู้ผลิตกับผู้ผลิต ผู้ผลิตกับผู้ส่งออก ผู้ผลิตกับผู้น าเข้า ผู้ผลิตกับผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก เป็นต้น
2.ธุรกิจกับผู้บริโภค ( Business to Consumer : B to C )

    หมายถึงธุรกิจที่เน้นบริการกับลูกค้าหรือผู้บริโภค เช่น การขาย สินค้าอุปโภคบริโภค

3.ธุรกิจกับรัฐบาล ( Business to Government : B to G )
    หมายถึง ธุรกิจบริหารการค้าของประเทศ เพื่อเน้นการบริหารการจัดการที่ดีของรัฐบาล
4.ผู้บริโภคกับผู้บริโภค ( Consumer to  Consumer : C to C ) 

    หมายถึง ธุรกิจระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค ซึ่งเป็นการค้ารายย่อย อาทิ การขายของเก่าให้กับบุคคลอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต

5.รัฐบาลกับผู้บริโภค ( Government to Consumer : G to C )
    หมายถึง เป็นการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งในประเทศไทยก็มีการให้บริการหลายหน่วยงาน เช่น การเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ตการให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเตอร์เน็ตการติดต่อทำทะเบียนต่างๆ ของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆและสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์ม บางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ 
6.รัฐบาลกับประชาชน (Government to Consumer/Citizen หรือ G2C) 
     คือ รูปแบบการทำธุรกรรมระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน อาทิ การคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆ ของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น